พบพิรุธอีก แม่ปุ๊ก เตรียมพิสูจน์ดีเอ็นเอ กองปราบรับไม้ต่อ

พบพิรุธอีก แม่ปุ๊ก เตรียมพิสูจน์ดีเอ็นเอ กองปราบรับไม้ต่อ

สื่อข่าวรายงาน ล่าสุดคดีแม่ปุ๊กลงมือกับลูก 2 คนแล้วเปิดรับบริจาคก่อนถูกจับพิรุธได้นั้น เจ้าหน้าที่เผยว่า“เตรียมโอนสำนวนจากสภ.คลองหลวงมาให้กองปราบ ทำ “หลังจับพิรุธ “แม่ปุ๊ก” พฤติกรรมน่าสงสัย ส่อแววไม่ใช่แม่ตัวจริงน้องอิ่มบุญ ส่งตัวอย่างพิสูจน์ดีเอ็นเอ คาดรู้ผลสัปดาห์หน้า ขณะที่สำนวนคดีเตรียมโอนกองปราบเดินหน้าสางคดีเต็มรูปแบบ

จากกรณีเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.4 บก.ป. นำกำลังเข้าจับกุมน.ส.นิษฐา วงวาล หรือ แม่ปุ๊ก อายุ 29 ปี ชาว กทม. ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญา ข้อหา “รับไว้ซึ่งเด็กโดยมีความมุ่งหมายเพื่อเป็นการแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบ,พยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน,ทำร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ผู้นั้นถึงแก่ความตาย,ฉ้อโกงโดยการแสดงตนเป็นคนอื่น, ฉ้อโกงประชาชน” ได้ที่บ้านพักแห่งหนึ่งภายในซอยเทิดราชัน 13 ถ.เทิดราชัน แขวงสีกัน เขตดอนเมือง กทม. เมื่อวันที่ 18 พ.ค. ที่ผ่านมา เนื่องจากพบว่ามีพฤติกรรมต้องสงสัยว่าน่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องในการทำให้ด.ช.อิ่มบุญ อายุ 2 ขวบ ซึ่งเป็นบุตรแท้ๆ และ ด.ญ.อมยิ้ม อายุ 4 ขวบ บุตรบุญธรรม ล้มป่วยด้วยอาการผิดปกติ เพื่อสร้างเรื่องให้ดูน่าสงสารในการหลอกเอาเงินจากคนอื่น จนทำให้ ด.ญ.อมยิ้มเสียชีวิต ส่วน ด.ช.อิ่มบุญ ขณะนี้อาการปลอดภัยแล้ว แต่ยังคงต้องอยู่ในความดูแลของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ หลังผลการตรวจวินิจฉัยของแพทย์พบสารเคมีฤทธิ์ออกฤทธิ์เป็นกรด คล้ายกับสารเคมีที่เป็นส่วนผสมของน้ำยาล้างห้องน้ำ หรือ น้ำยาซักฟอก ในร่างกายจำนวนมากจนทำให้อวัยวะภายในเสียหาย ตามที่ได้เคยมีการนำเสนอไปก่อนหน้านี้แล้วนั้น

ความคืบหน้าคดีดังกล่าวเมื่อวันที่ 23 พ.ค. 2563 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังการจับกุมตัวน.ส.นิษฐา หรือ แม่ปุ๊ก แล้วนั้น ทาง พล.ต.ต.จิรภพ ภูริเดช ผบก.ป. ยังคงสั่งการให้ พ.ต.อ.ปทักข์ ขวัญนา ผกก.4 บก.ป. พร้อมด้วย พ.ต.ท.ณัฐพงษ์ เกิดเอี่ยม รอง ผกก.4 บก.ป. และเจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการ กก.4 บก.ป. ลงพื้นที่สืบหาพยานหลักฐานอย่างต่อเนื่องเพื่อพิสูจน์ทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับคดีดังกล่าว โดยมีการตั้งประเด็นข้อสงสัยทางคดีที่ต้องคลี่คลายให้หายเคลือบแคลงกว่า 20 ประเด็น โดยเฉพาะประเด็นสำคัญข้อสงสัยว่าด.ช.อิ่มบุญ ที่ได้รับการรักษาจนปลอดภัยแล้วนั้นเป็นบุตรแท้ๆของน.ส.นิษฐา จริงหรือไม่

แม้ว่าในใบสูติบัตรจะมีการยืนยันชัดเจนว่า น.ส.นิษฐา เป็นมารดาถูกต้องตามกฎหมายก็ตาม แต่เนื่องจากว่าในทางกฎหมายเกี่ยวกับการแจ้งเกิดบุตรนั้นยังมีช่องโหว่บางอย่างที่ทำให้บุคคลที่ไม่ใช่บิดามารดาที่แท้จริงของเด็กสามารถจดทะเบียนในการเป็นมารดาของเด็กได้ ซึ่งการจะพิสูจน์ทราบข้อเท็จจริงให้หายเคลือบแคลงข้อสงสัยได้นั้นจึงจำเป็นจะต้องทำการตรวจดีเอ็นเอ ซึ่งขณะนี้ทางเจ้าหน้าที่ได้มีการเก็บตัวอย่างดีเอ็นเอของ น.ส.นิษฐา และ ด.ช.อิ่มบุญ ส่งไปตรวจพิสูจน์ทราบตามหลักนิติวิทยาศาสตร์แล้ว โดยคาดว่าน่าจะทราบผลภายในสัปดาห์หน้านี้

สำหรับมูลเหตุที่ทำให้เกิดข้อสงสัยในประเด็นดังกล่าว ส่วนหนึ่งเป็นผลจากพฤติกรรมที่ผิดแปลกธรรมชาติของผู้เป็นแม่ เนื่องจากในช่วงที่ ด.ช.อิ่มบุญ ยังมีอาการป่วยหนักอยู่นั้น ธรรมชาติของคนเป็นแม่ทั่วไปจะต้องเพิ่มความเอาใจใส่ดูแลลูกน้อยมากขึ้นจนไม่มีเวลาคิดหรือทำอย่างอื่น แต่ น.ส.นิษฐา กลับยังคงสนใจหรือมุ่งแต่เรื่องการถ่ายคลิปวิดีโอโพสต์ข้อความลงในสื่อสังคมออนไลน์เพื่อสร้างกระแสและมุ่งหวังแต่ยอดเงินบริจาคจากประชาชน

นอกจากนี้ยังมีการข้อสังเกตอีกด้วยว่าเมื่อมีการส่งตัว ด.ช.อิ่มบุญ ไปอยู่ในความดูแลของทางแพทย์เด็กจะมีอาการดีขึ้นจนเกือบหายเป็นปกติ แต่เมื่อเด็กกลับไปอยู่ในความดูแลของน.ส.นิษฐา ไม่นานก็จะมีอาการทรุดลงอย่างหนัก อีกทั้งเด็กยังแสดงอาการหวาดกลัวไม่อยากเข้าใกล้หรือติดต่อกับ น.ส.นิษฐา

โดยพฤติกรรมดังกล่าวของเด็กจะเห็นได้อย่างชัดเจนในทุกๆครั้งที่น.ส.นิษฐา โทรศัพท์ติดต่อมาหา ด.ช.อิ่มบุญ ขณะรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล แต่ ด.ช.อิ่มบุญ กลับเลือกจะกดตัดสายทิ้งไม่ยอมพูดคุยกับน.ส.นิษฐา ซึ่งผิดธรรมชาติของเด็กในวัย 2 ขวบที่มักจะติดแม่ไม่ยอมให้ห่างตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีแม่เลี้ยงเดี่ยวที่เลี้ยงลูกน้อยเพียงลำพังเด็กจะยิ่งติดแม่มากกว่าเด็กปกติทั่วไป

อีกทั้งเมื่อเจ้าหน้าที่สอบถามประวัติความเป็นมาของผู้เป็นพ่อ ด.ช.อิ่มบุญ นั้น น.ส.นิษฐา กลับไม่สามารถยืนยันตัวตนได้มากนัก โดยอ้างว่าก่อนหน้าที่จะตั้งครรภ์ด.ช.อิ่มบุญ ได้ไปเที่ยวที่สถานบันเทิงแห่งหนึ่ง ก่อนจะไปพบเจอกับชายหนุ่มคนหนึ่งจนนำไปสู่การมีสัมพันธ์ลึกซึ้งและคบหากันในช่วงเวลาสั้นๆเพียงแค่ 3 วัน จากนั้นทั้งคู่จะเลิกราต่อกัน โดยที่ น.ส.นิษฐา เองก็ไม่ทราบด้วยว่าหลังจากนั้นตนเองได้ตั้งครรภ์ เพราะเห็นว่าประจำเดือนยังมาปกติ ซึ่งกว่าจะมารู้ตัวว่าตั้งท้อง ด.ช.อิ่มบุญ นั้น อายุครรภ์ก็เกือบ 9 เดือน ใกล้คลอดแล้ว อีกทั้งช่วงที่ตั้งครรภ์นั้นท้องก็ไม่ได้โตมากจนผิดปกติแต่อย่างใด จึงทำให้ในช่วงที่ตั้งท้อง ด.ช.อิ่มบุญ นั้นไม่เคยมีการฝากท้องกับทางโรงพยาบาล ประกอบกับจากการสอบถามพยานบุคคลใกล้ชิดของ น.ส.นิษฐา ส่วนใหญ่ต่างยืนยันว่าก่อนหน้าจะพบ ด.ช.อิ่มบุญ นั้นไม่เคยเห็น น.ส.นิษฐา ตั้งครรภ์มาก่อน

ซึ่งพยานส่วนใหญ่มาทราบเรื่องว่า น.ส.นิษฐา มีบุตรก็ตอนที่ น.ส.นิษฐา พา ด.ช.อิ่มบุญ กลับมาอยู่ที่บ้านแล้ว จึงทำให้ทางเจ้าหน้าที่มองว่าคำกล่าวอ้างของ น.ส.นิษฐา นั้นยังไม่สมเหตุสมผลหรือมีน้ำหนักมากเพียงพอ และหากผลการตรวจพิสูจน์ออกมาว่าดีเอ็นเอออกมาพบว่า น.ส.นิษฐา ไม่ได้เป็นแม่ที่แท้จริงของ ด.ช.อิ่มบุญ นั้น น้ำหนักความน่าเชื่อถือในดคีทำร้ายเด็กก็จะมีเพิ่มมากขึ้นไปด้วย

ส่วนคดีของน้องอมยิ้มนั้น ขณะนี้เริ่มมีความคืบหน้าไปบางส่วนบางแล้ว โดยเดิมทีสำนวนคดีดังกล่าวอยู่ความรับผิดชอบของ สภ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี แต่เนื่องจากข้อจำกัดในส่วนของจำนวนบุคลากรและเครื่องมือการตรวจสอบ จึงได้มีการเสนอเรื่องโอนคดีมาอยู่ในความรับผิดชอบของทางตำรวจกองปราบเป็นหน่วยงานหลักรับดำเนินการแทน ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการดำเนินการ โดยคาดว่าการโอนย้ายสำนวนคดีดังกล่าวมายังกองปราบอย่างเป็นทางการในเร็ววันนี้

:: ร่วมแสดงความคิดเห็นกับสิ่งนี้

:: เนื้อหาข่าวที่น่าสนใจ