ร.ต.ช็อกไม่เคยกู้เป็นหนี้6แสน โดนหักบำนาญ 3,950 ทุกเดือนนานเป็นปี

ร.ต.ช็อกไม่เคยกู้เป็นหนี้6แสน โดนหักบำนาญ 3,950 ทุกเดือนนานเป็นปี

วันที่ 28 พ.ค. ร.ต.ทักษิณ สัมฤทธิ์ อายุ 60 ปี ข้าราชการบำนาญ บ้านอยู่ ต.นาโยงเหนือ อ.นาโยง จ.ตรัง พร้อมภรรยา ญาติพี่น้อง รวมทั้ง นายสมควร จิตรแก้ว นายกอบต.นาโยงเหนือ เข้าร้องเรียนผู้สื่อข่าว โดยนำหลักฐานสำเนาใบแจ้งความให้ดำเนินคดีกับผู้ที่ปลอมเอกสารนำไปยื่นกู้เงินกับธนาคารจนทำให้เป็นหนี้ 6 แสนบาทโดยไม่เคยรู้เรื่องมาก่อน

ร.ต.ทักษิณ เปิดเผยว่า เกษียณอายุราชการเมื่อเดือนต.ค.2560 ได้รับเงินบำเหน็จบำนาญตามปกติ และมีสิทธิ์กู้เงินบำนาญกับธนาคารได้ แต่ที่ผ่านมาไม่เคยยื่นกู้เลยเพราะไม่มีเหตุจำเป็นใดๆ ที่จะต้องใช้เงิน แต่ละเดือนได้เงินบำนาญเดือนละ 41,321 บาท หักภาษีเดือนละ 399.38 บาท เหลือได้รับเงินเดือนละ 40,921.62 บาท ซึ่งจะกดเงินเท่าที่ความจำเป็นจะต้องใช้ ส่วนเงินที่เหลือก็ไม่เคยสนใจเบิกเกินมา และไม่เคยตรวจเช็คยอดเงิน เพราะพอถึงปลายเดือนเงินเข้าอีก

แต่ปรากฏว่าเมื่อวันที่ 26 พ.ค. ที่ผ่านมา ได้ปรึกษากับภรรยาว่าจะสร้างขนำสัก 1 หลังเอาไว้พักผ่อนยามเข้าสวน จึงไปติดต่อที่สำนักงานสัสดี จ.ตรัง เพื่อขอเอกสารหลักฐานเตรียมยื่นกู้เงินกับธนาคาร ปรากฏว่า ได้รับคำตอบว่า ผมได้ยื่นกู้เงินไปแล้ว ไม่มีสิทธิจะกู้ได้อีก ก็ตกใจเพราะไม่เคยใช้สิทธิยื่นกู้เงินมาก่อนจึงขอดูเอกสารหลักฐาน ก็พบว่ากรมบัญชีกลางหักเงินบำนาญของผมไปทุกเดือนๆ ละ 3,950 บาท เพื่อจ่ายหนี้เงินกู้ และมีเอกสารระบุกู้เงินตั้งแต่วันที่ 3 เม.ย.2562 เป็นเงิน 6 แสนบาท ระยะเวลาการกู้ 360 เดือน ถูกหักเงินมาแล้วเป็นเวลาประมาณ 1 ปี รวมยอดเงินแล้ว 47,400 บาท และพบว่าแต่ละเดือนกรมบัญชีกลางจะโอนเงินบำนาญที่เหลือจากการหักหนี้เงินกู้ เข้าบัญชีผมเพียงเดือนละ 36,971.62 บาท ซึ่งผมไม่เคยเช็คยอดเงินเข้าเลยไม่รู้เรื่อง

ร.ต.ทักษิณ กล่าวต่อว่า ขณะที่ตนยืนยันกับสัสดีและเจ้าหน้าที่ทุกคนบนสำนักงาน กลับได้รับคำยืนยันว่า ตนยื่นกู้จริงและขอให้ยอมรับ พร้อมบอกด้วยว่า หลงลืมหรือเปล่า หรือว่าเป็นอัลไซเมอร์ จำเหตุการณ์ไม่ได้ เพราะหลักฐานมีการกู้ยืมจริง ตนก็ยืนยันว่า ไม่เคยกู้ยืมเงิน ต้องมีการปลอมแปลงเอกสาร แต่สัสดีก็ยืนยันว่าตนกู้จริง เอกสารก็มีจริง จากนั้นจึงไปติดต่อที่ธนาคารที่ถูกระบุว่าไปกู้มา ก็ได้รับตอบจากเจ้าหน้าที่ว่าตนมายื่นกู้จริง ใช้หลักฐานจริง บัตรประชาชนก็ของจริง ตนก็ยืนยันว่าไม่เคยมาที่ธนาคาร ไม่เคยมาทำธุรกรรมใดๆ ด้วย โดยขอดูเอกสารการกู้เงินจากธนาคาร และขอดูกล้องวงจรปิดในวันที่มากู้ก็ถูกปฏิเสธ แต่เขาเปิดให้ดูลายเซ็น และบัตรประชาชนที่ใช้เป็นหลักฐานในการกู้จากคอมพิวเตอร์ว่าเป็นของตนจริง ก็ยืนยันว่าไม่ได้มายื่นกู้ ส่วนลายเซ็น และบัตรประชาชน ต้องมีคนปลอมขึ้นมาแน่นอน

เมื่อถามว่าคนที่มากู้วันนั้น หน้าตาเป็นอย่างไร อายุเท่าไร มากี่คน ก็ได้รับคำตอบว่ามา 2 คน เป็นผู้หญิง 1 คน และผู้ชายอายุ 30 ปีกว่าอีก 1 คนซึ่งเป็นคนเซ็นเอกสาร ผมก็บอกไปว่า จะเป็นไปได้อย่างไร ผมอายุ 60 ปี คนไปกู้อายุ 30 ปี ห่างไกลกันมาก ธนาคารให้กู้ได้อย่างไรแล้วยังให้เปิดสมุดบัญชีใหม่ และทำบัตรเอทีเอ็มใหม่ในนามชื่อผมไปด้วย พร้อมให้เบอร์ติดต่อคนที่สามารถติดต่อได้กับธนาคารไว้ 1 คน เมื่อโทรสอบถามพบว่าคนดังกล่าวอยู่ในพื้นที่ อ.จุฬาภรณ์ จ.นครศรีธรรมราช ผมจึงไปแจ้งความไว้ที่ สภ.เมืองตรัง ซึ่งพอจะรู้แล้ว 1 คนเป็นลูกจ้างผู้หญิง เชื่อว่าจะต้องทำเป็นขบวนการ ขอเตือนให้ข้าราชการบำนาญทุกคน หมั่นตรวจเช็คสถานะส่วนบุคคลของตัวเองให้ดี ไม่อย่างนั้นจะเป็นหนี้โดยไม่รู้เนื้อรู้ตัวเหมือนกับผมได้

ขอบคุณที่มาจาก ข่าวสด

:: ร่วมแสดงความคิดเห็นกับสิ่งนี้

:: เนื้อหาข่าวที่น่าสนใจ