เปิ้ล หัทยา น้ำตาไหล แถลงเปิดใจครั้งแรก หลังสูญเสียสามีสุดที่รักตั้ว ศรัณยู

เปิ้ล หัทยา น้ำตาไหล แถลงเปิดใจครั้งแรก หลังสูญเสียสามีสุดที่รักตั้ว ศรัณยู

ถือเป็นการสูญเสียครั้งสำคัญอีกครั้งของวงการบันเทิงบ้านเรา หลังมีรายงานว่า ตั้ว ศรัณยู วงษ์กระจ่าง นักแสดงผู้กำกับชื่อดังวัย 59 ปีได้เสียชีวิตลงแล้วจากอาการป่วยด้วยโรคมะเร็งตับระยะสุดท้าย

ด้านภรรยาอย่าง เปิ้ล หัทยา วงศ์กระจ่าง ก็เพิ่งโพสต์ภาพลงในอินสตาแกรม พร้อมข้อความสุดเศร้า "อยากให้เวลาเดินช้าช้า ขอเวลาสักหน่อย" พร้อมกับภาพวิวจากตึก ภูมิสิริมังคลานุสรณ์ รพ.จุฬา ซึ่งคาดว่าเป็นช่วงเวลาก่อนที่สามีจะจากโลกนี้ไปไม่นาน

ล่าสุดเปิ้ล หัทยา”แถลงเปิดใจครั้งแรก หลังสูญเสีย สามีสุดที่รัก”ตั้ว ศรัณยู”ระบุ ตั้งแต่เกิดอุบัติเหตุล้มกลางกองถ่าย จนล้มป่วย และตรวจพบมะเร็ง ซึ่งก็ยังเชื่อมั่นว่าจะรักษาหาย แต่แล้ววันนี้ก็มาถึงซึ่งที่ผ่านมา พี่ตั้วสู้มาตลอดทั้งออกกำลังกายดูแลตัวเอง ทั้งนี้ระหว่าสัมภาษณ์ เปิ้ลพยายามเข้มแข็งกลั้นความรู้สึก แต่แล้วก็มีบางช่วงปล่อยน้ำตาออกมา

พี่เปิ้ลเปิดด้วยว่า ก่อนเกิดเรื่องเคยคุยกันว่าจะไปบ้านพี่สาวที่เกาหลี จะไปเที่ยวทะเลกันหลังหายป่วย ลูกสาวเรียนจบจะช่วยงานในส่วนไหนบ้าง แต่แล้วก็ไม่มีโอกาส

สำหรับการสวดพระอภิธรรมศพจะมีตั้งแต่วันที่ 11-17 มิถุนายน เวลา 18.30 น. ของทุกวัน ก่อนจะมีพิธีฌาปนกิจในวันที่ 18 มิถุนายน เวลา 17.00 น. ที่วัดนาคปรก ศาลาเศรษฐี ซอยเทอดไท 49 ภาษีเจริญ

ด้าน นพ.สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข (สธ.)กล่าวว่า ประเทศไทยมีผู้ป่วยมะเร็งทั้งหมด ปีละ 122,757 ราย มะเร็งตับและท่อน้ำดีถือเป็นมะเร็งที่พบเป็นอันดับ 1 ในเพศชาย และอันดับ 2 ในเพศหญิง จากข้อมูลทะเบียนมะเร็งประเทศไทย (ปี 2558) พบว่ามีผู้ป่วยมะเร็งตับรายใหม่ 20,671 ราย ในจำนวนนี้มีผู้เสียชีวิต 15,912 ราย ซึ่งมะเร็งตับที่พบมากในประเทศไทยมี 2 ชนิด คือมะเร็งของเซลล์ตับและมะเร็งท่อน้ำดีตับโดยพบมากในภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคเหนือ

สาเหตุของมะเร็งตับเกิดจากการเป็นพาหะของไวรัสตับอักเสบชนิดบี ส่วนสาเหตุของมะเร็งท่อน้ำดีเกิดจากพยาธิใบไม้ตับร่วมกับการรับประทานอาหารที่มีดินประสิว (ไนเตรท) และไนไตรท์ เช่น ปลาร้า ปลาจ่อม ปลาส้ม แหนมฯลฯ นอกจากนี้การดื่มสุราเป็นประจำ การรับสารพิษอะฟลาทอกซินที่เกิดจากเชื้อราบางชนิดที่พบในอาหารประเภทถั่ว ข้าวโพด พริกแห้ง รวมถึงไวรัสตับอักเสบชนิดซีก็เป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่ทำให้เกิดมะเร็งตับได้

ขณะที่ นพ.จินดา โรจนเมธินทร์ ผู้อำนวยการสถาบันมะเร็งแห่งชาติ กล่าวเกี่ยวกับอาการของมะเร็งตับว่า ผู้ป่วยแต่ละรายอาจมีอาการแสดงแตกต่างกัน โดยทั่วไปมักไม่มีอาการในระยะแรก อาการส่วนใหญ่ที่พบ คือแน่นท้อง ท้องอืดท้องเฟ้อเป็นประจำ อ่อนเพลีย น้ำหนักลด ปวดหรือเสียดชายโครงขวา อาจคลำพบก้อนในช่องท้อง ตัวเหลือง ตาเหลือง ท้องโต และมีอาการบวมบริเวณขาทั้ง 2 ข้าง เป็นต้น หากมีอาการเหล่านี้ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัย เช่น การตรวจเลือดดูความผิดปกติการทํางานของตับ การตรวจระดับอัลฟาฟีโตโปรตีน การอัลตราซาวด์เพื่อดูก้อนที่ตับ การเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ หรือการตรวจด้วยคลื่นแม่เหล็ก เป็นต้น

ผู้อำนวยการสถาบันมะเร็งแห่งชาติ กล่าวต่อไปว่า การรักษามะเร็งตับและท่อน้ำดีมีหลายวิธี ซึ่งจําเป็นต้องประเมินโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อให้เหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละราย เนื่องจากมีปัจจัยที่ต้องคํานึงหลายประการ สำหรับการป้องกันโรคทำได้โดยการให้วัคซีนไวรัสตับอักเสบชนิดบีในเด็กแรกเกิดทุกคน ไม่รับประทานปลาน้ำจืดดิบ ปรับเปลี่ยนวิธีการดำเนินชีวิตและพฤติกรรมสุขภาพ รับประทานอาหารที่ถูกต้องตามหลักโภชนาการ หลีกเลี่ยงอาหารที่มีสารก่อมะเร็ง เช่น อาหารที่อาจปนเปื้อนสารอะฟลาทอกซิน อาหารที่มีดินประสิว และอาหาร หมักดอง เป็นต้น

ทั้งนี้ หากสงสัยว่ามีความเสี่ยงต่อมะเร็งตับ ควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัย โดยเฉพาะผู้ป่วยโรคตับเรื้อรัง หรือมีประวัติเป็นโรคตับอักเสบ ควรรับการตรวจหามะเร็งอย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้สามารถรักษาได้อย่างทันท่วงทีและลดอัตราการเสียชีวิตจากโรคมะเร็งตับได้

:: ร่วมแสดงความคิดเห็นกับสิ่งนี้

:: เนื้อหาข่าวที่น่าสนใจ