ผบช.น.สั่งร.ต.อ.ฉาวออกราชการแล้ว ตั้งข้อหาหนัก

ผบช.น.สั่งร.ต.อ.ฉาวออกราชการแล้ว ตั้งข้อหาหนัก

สืบเนื่องจากกรณีที่ น.ส.พิมชฎาพร ภูแย้มไสย์ วัย 30 ปี เสียชีวิตในบ้านพักแห่งหนึ่งในพื้นที่ย่านลาดพร้าว โดยเธอเป็นแฟนสาวของตำรวจระดับรองสารวัตรสืบในพื้นที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล 4 ซึ่งเรื่องนี้มีคนสงสัยถึงสาเหตุการเสียชีวิตว่าอาจจะมีอะไรแปลกๆ มีข้อพิรุธหลายจุด เช่น ผู้ตายถูกยิงด้านซ้าย ทั้งที่ถนัดขวา และไม่ได้ป่วยเป็นโรคซึมเศร้า เป็นต้น

ด้าน รองสารวัตรสืบสวน สน.วังทองหลาง กล่าวถึง กรณีน.ส.พิมชฎาพร ภูแย้มไสย์ อายุ 30 ปี ภรรยาใช้อาวุธปืน .45 ยิงตัวเสียชีวิต ว่า ขณะนี้ตนแทบไม่มีที่ยืน เครียดมาก เพราะทางครอบครัวของแฟนที่เสียชีวิตคิดว่าตนอาจมีส่วนเกี่ยวข้องในเรื่องนี้ แต่ตนยืนยันว่าตนไม่ได้ทำ แลเไม่มีเหตุผลที่จะทำเพราะเขาคือคนที่ตนรักและมีลูกด้วยกัน ก่อนหน้านี้ยอมรับว่าครอบครัวของแฟนไม่ชอบตนจริงและไม่เคยเจอกัน มีเพียงพูดคุยกับแม่แฟนผ่านโทรศัพท์มือถือเท่านั้น ตนก็พยายามพิสูจน์ให้แม่ของแฟนเห็นว่าตนสามารถดูแลลูกของเขาได้ จึงได้ซื้อบ้านเมื่อ 3 เดือนก่อนเพื่อทำให้เห็นว่าลูกของเขาจะไม่ลำบาก

ล่าสุด พล.ต.ท.ภัคพงศ์ พงษ์เภตรา ผบช.น. ให้ข้อมูลว่าผลการชันสูตรศพของผู้เสียชีวิตไม่ได้เสียชีวิตจากการฆ่าตัวตาย โดยทาง ตร. พบหลักฐานสำคัญคือคราบเขม่าดินปืนที่มือขอ ร.ต.อ.ทรงกลด บุญส่ง ซึ่งหลังจากการสอบสวนให้การภาคเสธ โดยยอมรับว่าอยู่ในที่เกิดเหตุและสาเหตุมาจากปัญหาครอบครัว โดยปฏิเสธว่าไม่ได้เกี่ยวข้องกับการฆาตกรรมซึ่งขัดแย้งกับคำให้การก่อนนั้นที่ให้การว่าอยู่คนละห้องกับภรรยาแล้วได้ยินเสียงปืนจึงพังประตูเข้าไป

ทั้งนี้ ตร.ยังไม่ปักใจเชื่อและยึดผลทางนิติวิทยาศาสตร์เป็นหลัก จึงได้แต้งข้อกล่าวหาแก่ ร.ต.อ.ทรงกลด บุญส่ง คือ ฆ่าผู้อื่น หลังจากนี้จะสอบสวนและรวบรวมพยานหลักฐานอีกครั้งว่าเข้าข่าย ฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาหรือไม่หรือไตร่ตรองไว้ก่อน ขณะนี้ ร.ต.อ.ทรงกลดจกเป็นผู้ต้องหาแล้ว ซึ่งในทางปฏิบัติต้นสังกัดจะให้ออกจากราชการไว้ก่อน

อย่างไรก็ตามแม้ผู้ต้องจะให้การภาคเสธแค่คำการยังเป็นประโยชน์ต่อรูปคดี ซึ่งรายละเอียดนั้นยังไม่สามารถเปิดเผยได้ อีกทั้ง พล.ต.ท.ภัคพงศ์ พงษ์เภตรา ผบช.น. ย้ำว่ามีความมั่นใจในพยานหลักฐาน เพราะหากไม่มีหลักฐานที่แน่ชัดคงไม่สามารถออกหมายจับได้ ลั่นแม้เป็นตำรวจก็จะต้องถูกดำเนินคดีตามกฎหมายเหมือนประชาชนทั่วไป

จากการสอบสวนร.ต.อ.ทรงกลด สามีผู้ตายให้การรับสารภาพแล้วว่า หลังจากมีปากเสียงกันระหว่างที่กลับมาที่บ้าน ภรรยาได้เข้ามาด่าทอ จึงเกิดบันดาลโทสะชักอาวุธปืนขู่ จากนั้นผู้ตายได้มายื้อแย่งกันเป็นเหตุทำให้ปืนลั่นใส่ผู้ตายเสียชีวิต

ก่อนหน้านั้นทีมสืบสวนคดีดังกล่าว พบข้อสงสัยหลายประการ โดยเฉพาะการใช้อาวุธปืนและวิถีกระสุน ทั้งๆที่ ผู้เสียชีวิตถนัดขวา แต่กลับพบบาดแผลบริเวณศรีษะด้านซ้าย ประเด็นสำคัญยังมีการตรวจคราบเขม่าดินปืนที่มือของผู้เสียชีวิต และนายตำรวจผู้เป็นสามี จึงดำเนินการควบคุมตัว ร..ต.อ.ทรงกลด มาสอบเครียดอีกครั้งในที่สุดก็ยอมรับว่า ก่อนเกิดเหตุภายหลังกลับมาบ้าน ตนเองมีอาการมึนเมาอย่างหนัก ก่อนมีปากเสียงกับภรรยาแล้วทะเลาะกันอย่างรุนแรง จากนั้นได้พยายามลากตัวภรรยาสาวเข้าห้องนอนเพื่อร่วมหลับนอน แต่อีกฝ่ายไม่ยอม ก่อนที่จะหนีลงมานอนที่ห้องรับแขก

ต่อมาทางด้านผู้กองหนุ่มได้ถือปืนเดินตามลงมา โดยอ้างว่าเพื่อเคลียร์ปัญหา แต่สุดท้ายทำให้มีปากเสียงรอบใหม่ จนถึงขั้นขวางปาสิ่งของ และตนเองได้มีการชักอาวุธปืนมาจ่อที่ศีรษะ เนื่องจากผู้ตายบ่นว่าเบื่อแล้ว อยากตาย แต่ปรากฎว่าจังหวะที่เอาปืนขึ้นมาจ่อศีรษะ ทางด้านภรรยาสาวเป็นพยายามแย่งปืน จนทำให้เกิดปืนลั่นเข้าศรีษะจนเสียชีวิต ไม่ได้เป็นการตั้งใจสังหารภรรยาแต่อย่างใด

:: ร่วมแสดงความคิดเห็นกับสิ่งนี้

:: เนื้อหาข่าวที่น่าสนใจ