สยบดราม่า จนทิพย์ พ่อลั่น หยุดกล่าวหา แล้วเลี้ยงลูกให้ดีเท่าผม

สยบดราม่า จนทิพย์ พ่อลั่น หยุดกล่าวหา แล้วเลี้ยงลูกให้ดีเท่าผม

จากกรณีน้องโวลต์ (สงวนชื่อ-สกุลจริง) อายุ 18 ปี นักเรียนโรงเรียนแห่งหนึ่งใน จ.กาฬสินธุ์ สอบเข้าเป็นนักศึกษาคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งใน จ.มหาสารคามได้ แต่ฐานะยากจน ทั้งบ้านมีเงินอยู่แค่ 1,500 บาท และไม่มีทุนการศึกษา หลังเรื่องราวถูกเผยแพร่ออกไป ทำให้มียอดโอนเงินบริจาคเข้ามากว่า 2,700,000 บาท

กระทั่งชาวเน็ตจับโป๊ะได้ว่า นักศึกษาแพทย์รายนี้อาจจะจนไม่จริง เนื่องจากมีคนสังเกตว่าใช้ iPad Pro, จัดฟัน, เป็นเจ้ามือหวย, ใช้น้ำหอม Dior, พี่สาวขับรถเก๋งคันละเกือบล้าน และพี่ชายขี่มอเตอร์ไซค์บิ๊กไบก์

ที่บ้านของน้องโวลต์ อ.เมือง จ.กาฬสินธุ์ ลักษณะบ้านตั้งอยู่บนพื้นที่ 2 ไร่ โดยครอบครัวนี้ได้อาศัยกันอยู่ 5 คน ได้แก่ นายธนวุฒิ เหล่าบุบผา (พ่อ) อายุ 53 ปี, นางพรหมจันทร์ เหล่าบุบผา (แม่) อายุ 50 ปี, นายเวฟ (พี่ชายคนโต) อายุ 25 ปี, น.ส.โวลต์ อายุ 19 ปี และน.ส.วาว อายุ 16 ปี

บนพื้นที่ 2 ไร่ ได้แบ่งเป็น 3 ส่วน โดยส่วนแรกพื้นที่ 1 ไร่ ใช้เป็นพื้นที่การเกษตร ปลูกต้นไผ่ ต้นแมงลัก ต้นดาวเรือง ต้นกะเพรา และต้นมะเขือ ซึ่งเป็นการเกษตรเป็นอาชีพหลักของครอบครัวน้องโวลต์

ส่วนที่ 2 เป็นบ้านที่ใช้อยู่อาศัย ขนาดบ้าน 9x7 เมตร ซึ่งเป็นเพิงพัก มีพนังกั้นแค่ส่วนที่เป็นห้องของน้องโวลต์และน้องวาว ผู้เป็นน้องสาว, ส่วนพ่อแม่จะนอนข้างนอกห้อง ซึ่งเป็นบ้านที่ไม่มีผนังกั้น ลักษณะห้องน้ำสร้างยังไม่แล้วเสร็จ แต่พอใช้งานได้ ส่วนเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านมีตู้เย็น 2 เครื่อง, เราเตอร์ WiFi, พัดลม 3 เครื่อง, ภายในครัวมีเตาถ่านและเตาแก๊สปิกนิก ไม่มีโทรทัศน์ ไม่เจอบิ๊กไบก์ และรถยนต์

ส่วนที่ 3 เป็นบ้านของนายเวฟ พี่ชายคนโตของน้องโวลต์ สร้างอยู่กับภรรยา เป็นบ้านขนาดเล็กที่พี่ชายสร้างไว้อยู่กับแฟนสาว ขนาดห้อง 2.5x3 เมตร ซึ่งเป็นห้องที่ติดแอร์ และเกิดเป็นดราม่า

น้องโวลต์ ได้พาทีมข่าวไปดูภายในห้อง พบครีมที่เป็นสินค้าแบรนด์เนม แต่น้องโวลต์อ้างซื้อมาในช่วงลดราคา แค่ไม่กี่ร้อยเท่านั้น พร้อมกับเปิดแชตหลักฐานการสั่งซื้อน้ำหอม MissDior กลิ่น Blooming Bouquet โดยซื้อมือ 2 จำนวน 5 มิลลิลิตร ในราคาแค่ 300 บาทเท่านั้น โดยซื้อมาตั้งบนโต๊ะเพื่อดมกลิ่นให้ผ่อนคลายเวลาอ่านหนังสือ และฉีดตอนไปสอบเพื่อดมกลิ่นตอนทำข้อสอบ

น้องโวลต์ เปิดเผยว่า ตนได้ปิดบัญชีรับบริจาคตั้งแต่วันที่ 11 พ.ค.64 เวลา 13.00 น. ซึ่งได้ยอดเงินจำนวน 3.7 ล้านบาท โดยวันนี้ทางนายอำเภอเมืองกาฬสินธุ์ได้เข้ามาดูแล โดยแบ่งเงิน 1.7 ล้านบาท เป็นค่าการศึกษา, เงิน 9 แสนบาท ฝากธนาคารไว้เป็นเงินเก็บ โดยเงิน 2 ส่วนนี้ได้ตั้งคณะกรรมการขึ้นมา 5 คน ซึ่งถ้าต้องการที่ใช้เงิน จะต้องทำเรื่องเบิกจ่ายและต้องให้คณะกรรมการเซ็นยินยอม และนำเงิน 1 ล้านบาท ไปซื้อพันธบัตรเพื่อเอาดอกเบี้ยในระยะยาว และถอนเงินสดมา 1 แสนบาทเพื่อปรับปรุงที่อยู่อาศัย

สำหรับภาพที่ออกได้รับเผยแพร่ออกไป และมีชาวเน็ตจับผิดนั้น ก็เป็นสถานที่จริงที่ตนอยู่อาศัย ซึ่งตนก็ไม่ได้ปิดบังเกี่ยวกับความเป็นอยู่ หรือสิ่งของที่ตนมี อย่างเช่นเครื่องสำอาง ครีมยูเซอรีนและน้ำหอม ตนก็ซื้อมาใช้ในช่วงที่ลดราคา, เราเตอร์ WiFi ก็เป็นเรื่องพื้นที่ฐานที่ทุกบ้านต้องมี และค่าใช้จ่ายก็ไม่กี่ร้อย แม้ตนจะจนแต่ทุกคนก็มีสิทธิ์เข้าถึงอินเทอร์เน็ต ส่วนเรื่อง iPad Pro นั้น ตนทำงาน Part time ร้านซูชิและเก็นเงินเป็นปี ๆ เพื่อซื้อรุ่นแพง เพื่อใช้ระยะยาว ราคา 26,000 บาท ส่วนปากกา iPencil นั้นก็ได้เพื่อน ๆ ช่วยซื้อให้ในวันเกิด ราคา 3,000 บาท ส่วน AirPod แถมฟรีมากับ iPad

ในช่วงที่ตนสอบติดคณะแพทยศาสตร์ ตนรู้อยู่แล้วว่าสามารถขอทุนจากคณะได้ แต่ตนไม่มีเงินที่ค่าใช้จ่ายอื่น ๆ เช่น ค่าที่พักและค่ากิน ซึ่งครูประจำชั้นทราบเรื่องจึงได้พานักข่าวมาทำข่าว และมีเพจเฟซบุ๊กนำบัญชี กยศ. ไปเปิดรับบริจาค ซึ่งตนหวังแค่จะได้เงินในการใช้จ่ายแค่หลักหมื่นบาทเท่านั้น แต่กลับมีเงินบริจาคเข้ามาประมาณ 2.7 ล้านบาท จึงได้ปิดบัญชีในวันที่ 11 พ.ค. 64 เวลา 13.00 น. ซึ่งสาเหตุที่ปิดบัญชีในช่วงบ่าย เพราะช่วงเช้าตนถูกเชิญไปที่มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ทำให้ยอดเงินพุ่งไปถึง 3,795,000 บาท

น้องโวลต์ ยังกล่าวอีกว่า เรื่องรถยนต์ป้ายแดงที่ซื้อเมื่อช่วงเดือนมี.ค.64 ไม่ใช่รถของตน แต่เป็นรถที่พี่สาวของพี่สะใภ้ซื้อให้พี่สะใภ้ และซื้อผ่อนไม่ได้ซื้อสด ส่วนรถบิ๊กไบก์ของพี่ชายก็ซื้อมือสอง ในราคา 100,000 บาทแบบผ่อนจ่าย ตอนนี้รถก็ไม่ได้จอดอยู่ที่บ้าน เพราะญาติเอารถไปใช้ อย่างไรก็ตาม ตนมีฐานะยากจนจริง ๆ เพราะรายได้ไม่เพียงพอต่อการใช้ชีวิต และอยากขอบคุณสำหรับคนที่เห็นถึงความลำบากและโอนเงินเข้ามา และจะใช้เงินให้มีประโยชน์สูงสุด แต่ถ้าใครต้องการเงินคืนตนก็ยินดี ซึ่งก่อนหน้านี้ตนก็ตั้งใจจะออกมาอธิบาย แต่จากการปรึกษาผู้ใหญ่แนะนำให้ตนนิ่งไว้ก่อน สุดท้ายเหตุก็บานปลาย ตนก็ต้องขอให้สังคมรับฟังตนบ้าง เพราะตนก็กังวลว่าจะถูกบูลลี่ในระหว่างการเรียนในมหาวิทยาลัย

นางพรหมจันทร์ เหล่าบุบผา อายุ 50 ปี แม่ของน้องโวลต์ เปิดเผยว่า หลังจากลูกสาวถูกโจมตีจากสังคมออนไลน์ ตนก็รู้สึกเครียดมาก ๆ จนกินข้าวไม่ได้มา 3 วันแล้ว เพราะเป็นห่วงความรู้สึกของน้องโวลต์ และกลัวว่าตอนไปเรียนจะถูกเพื่อน ๆ ล้อ ตนยืนยันว่าบ้านของตนจนจริง ๆ มีรายได้แค่ประมาณ 10,000 บาท ที่สามีทำเกษตร ส่วนตนอยู่เป็นแม่บ้าน ทำให้มีรายได้น้อยและไม่พอที่จะส่งค่าเทอม แม้จะสร้างบ้านให้เสร็จก็ยังไม่มีเงิน แต่สามีก็ค่อย ๆ สร้างด้วยตัวเองเท่าที่ทำได้ เพราะไม่มีเงินจ้างช่างก่อสร้าง

ทั้งนี้ตนไม่คิดว่าเงินที่บริจาคเข้ามาจะมากมาย และทำให้เป็นเรื่องราวใหญ่โตขนาดนี้ เพราะตนต้องการแค่เงินหลักหมื่นบาท หวังแค่ให้คนมาช่วยบริจาคเงินช่วงเปิดเทอมแรกเท่านั้น เพราะตนไม่มีเงินมากพอที่จะส่งลูกไปอยู่ จ.มหาสารคาม แต่ตนรู้สึกภูมิใจที่ลูกสาวสอบติดคณะแพทย์ เพราะเขาตั้งใจจะเรียนแพทย์ และลูกสาวตั้งใจอ่านหนังสือทุกวัน

นางพรหมจันทร์ กล่าวด้วยว่า สำหรับรถยนต์นั้นเป็นของครอบครัวลูกสะใภ้ที่ซื้อให้ ส่วนเรื่องเลขออนไลน์ก็ไม่เป็นความจริง แต่ชาวบ้านลือไปต่าง ๆ นานาว่าครอบครัวตนรวย อย่างไรก็ตาม ตนก็อยากให้สังคมได้เห็นสภาพครอบครัวของตนว่าเป็นอย่างไร และถ้าใครอยากได้เงินคืนตนก็ยินดี แต่ตอนนี้เงินอยู่ในการดูแลของคณะกรรมการ

นายธนวุฒิ เหล่าบุบผา อายุ 53 ปี พ่อของน้องโวลต์ พาทีมข่าวเดินดูบริเวณที่ดินการเกษตรพื้นที่ 1 ไร่ ปลูกต้นไผ่ ต้นแมงลัก ต้นดาวเรือง ต้นกะเพรา และต้นมะเขือ ซึ่งรายได้ประมาณ 1 หมื่นบาทต่อเดือน

นายธนวุฒิ เปิดเผยว่า แม้จะเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ แต่คนจนอย่างพวกตนก็ต้องใช้ชีวิตเหมือนคนอื่น ๆ เพราะทุกคนมีสิทธิ์ใช้ชีวิตของตัวเอง และตนก็ไม่ได้นิ่งเฉย ตนยังออกไปทำการเกษตรเพื่อหารายได้ ส่วนเรื่องที่บอกว่าบ้านรวยและติดแอร์นั้น ตนยอมรับว่าห้องลูกชายติดแอร์จริง แต่ครอบครัวของลูกสะใภ้เขามาติดให้ โดยเป็นห้องขนาด 2.5x3 เมตร ที่ลูกชายเก็บเงินสร้างอยู่กับลูกสะใภ้ จึงอยากให้มองความเป็นจริงว่าพวกตนไม่ได้รวย ซึ่งเรื่องที่โพสต์กล่าวหานั้นต่างเป็นเรื่องเท็จทั้งสิ้น คนที่โพสต์ว่าพวกตน ก็ขอให้เลี้ยงลูกได้ดีเท่าตน

โดยทุกวันนี้ ตนนอนในบ้านที่ไม่มีกำแพง เพราะมีเงินเพียงแค่กั้นห้องให้ลูกสาว 2 คนนอน ส่วนเรื่องคนที่บอกว่าลูกสาวเอาเงินไปจัดฟันนั้น ก็เป็นเงินที่ลูกสาวทำงานร้านซูชิ และเก็บเงินจัดฟันตั้งแต่ ม.4 จ่ายค่าดัดฟันเดือนละ 1,000 บาท ซึ่งรวมค่าดัดฟันทั้งหมด 30,000 บาท อย่างไรก็ตาม ตนไม่อยากให้สังคมออนไลน์ด่าทอลูกตน ถ้าใครอยากว่าก็ขอให้ว่าตน เพราะลูกของตนเป็นผ้าขาว เป็นอนาคตของชาติ และถ้าได้เรียนจบแพทย์ก็จะได้ช่วยคนอีกมากมาย

ที่มา amarintv

:: ร่วมแสดงความคิดเห็นกับสิ่งนี้

:: เนื้อหาข่าวที่น่าสนใจ