อนาคตดับวูบ ไล่ออก ด.ต.เปิดห้องขัง พาสาวค้ายาขึ้นแฟลต

อนาคตดับวูบ ไล่ออก ด.ต.เปิดห้องขัง พาสาวค้ายาขึ้นแฟลต

จากกรณี ด.ต.สุพจน์ บุญทิพย์ ผบ.หมู่ ป. สน.บุคคโล ก่อเหตุไขกุญแจห้องขังพร้อมพาผู้ต้องหาหญิง น.ส.มนัสวี แตงทับทิม อายุ 48 ปี ผู้ต้องหาคดียาเสพติด ข้อหาครอบครองยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ไอซ์) และนางสาวส้ม (ยังไม่ทราบชื่อ-สกุลจริง) ผู้ต้องหาคดียาเสพติด ข้อหาครอบครองยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ไอซ์) ซึ่งพาผู้ต้องหาทั้งคู่ออกจากห้องขัง ไปกระทำอนาจารหรือไม่นั้น

ล่าสุดวันที่ 3 ก.ย.63 ทีมข่าวเดินทางไปยังโรงพัก สน.บุคคโล ซึ่งเป็นโรงพักร่วม 2 สถานี คือ สน.บุคคโล กับ สน.สำเหร่ และห้องขังจุดเกิดเหตุอยู่บริเวณชั้น 2 ฝั่งบุคคโล พบว่าด้านหน้าจะมีห้องวิทยุ สน.ตั้งอยู่ ถัดไปด้านในจะเป็นโต๊ะของสิบเวรควบคุมผู้ต้องขัง ส่วนด้านในสุดจะเป็นห้องขัง 3 ห้อง แบ่งเป็นห้องขังหญิง ห้องขังชาย และห้องขังแยกสำหรับปรึกษาทนายความ มีการควบคุมด้วยกล้องวงจรปิดตลอด 24 ชม.

แต่ด้วยลักษณะอาคารของสถานีตำรวจ สน.บุคคโล เป็นอาคารที่มีห้องพักตำรวจอยู่ด้านบนตึก ซึ่งสามารถเชื่อมขึ้นไปได้จากตัวสำนักงาน แบ่งเป็นชั้น 1-4 เป็นส่วนปฏิบัติงาน, ชั้น 5-11 เป็นห้องพักตำรวจ

พ.ต.อ.สายชล ปัญจชัย ผู้กำกับการ สน.บุคคโล ให้ข้อมูลว่า ขณะนี้อยู่ในระหว่างการตรวจสอบข้อเท็จจริงถึงประเด็นการข่มขืน เบื้องต้นดาบตำรวจคนดังกล่าว อยู่ในการคุมขังที่สน.สำเหร่ ขณะที่ผู้ต้องหาหญิง 2 รายอยู่ระหว่างการติดตามจับกุม ยืนยันไม่มีการช่วยเหลืออย่างแน่นอน ส่วนรายละเอียดอื่นไม่สามารถเปิดเผยได้ เกรงว่าจะกระทบต่อรูปคดี

สอบถามตำรวจของสน.บุคคโล ให้ข้อมูลอีกว่า ตำรวจรายนี้มีอุปนิสัยเจ้าชู้ โดยได้ประจำอยู่สน.บุคคโล มานานกว่า 10 ปี ซึ่งทุกคนทราบข้อเท็จจริงจากกล้องวงจรปิดบริเวณห้องคุมขัง พบผู้ก่อเหตุที่ปฏิบัติหน้าที่เวรกลางคืน ในฐานะเจ้าหน้าที่วิทยุ และสิบเวรเฝ้าหน้าห้องคุมขัง ได้ถือวิสาสะนำกุญแจไปไขห้องคุมขัง พาผู้ต้องหาหนี โดยขณะนั้นมีเพียงตำรวจคนดังกล่าวอยู่เพียงคนเดียว เนื่องจากขณะนี้มีตำรวจไปฝึกอบรบ ทำให้มีกำลังไม่เพียงพอ

และในช่วงเช้าที่ผ่านมา 09.00 น. ตำรวจสน.บุคโล นำตัวผู้ต้องหาหญิง 2 ราย น.ส.มนัสวี และน.ส.ส้ม ผู้ต้องหาคดียาเสพติด ข้อหาครอบครองยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ไอซ์) ไปฝากขังต่อศาล โดยรีบพาขึ้นรถเพื่อหลบสื่อมวลชน ไม่ได้ให้สัมภาษณ์หรือให้ผู้ต้องหาตอบคำถามเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแต่อย่างใด

นายแบงค์ (นามสมมติ) คนสนิทของ ด.ต.สุพจน์ เปิดเผยว่า ด.ต.สุพจน์ ถือว่าเป็นคนดีคนหนึ่ง ซึ่งไม่ใช่คนเลวร้ายอะไร ขยันทำงานและรักในอาชีพตำรวจ ซึ่งทุกวันตอนเย็นก็จะมาจับจ่ายซื้อของกลับไปฝากคนในครอบครัว เพราะมีลูกชาย 1 คน เพิ่งเรียนจบใหม่ ๆ

ส่วนนิสัยใจคอไม่ใช่คนหื่นหรือหมกหมุ่น เพราะเจ้าตัวเป็นคนชอบกีฬา และยังเป็นตัวแทนนักกีฬาแข่งขันระดับ บกน. หรือตัวแทน สน.บุคคโล ไปเล่นฟุตบอลของตำรวจอีกด้วย และด.ต.สุพจน์ ยังเป็นคนรักเพื่อน รักพี่น้อง บางวันก็จะมานั่งดื่มสังสรรคกันบ่อยครั้ง

นายแบงค์ ยังบอกอีกว่า หลังทราบข่าวว่าไปก่อเหตุพาผู้ต้องขังหญิงหลบหนี แล้วมีการกระทำอนาจารเกิดขึ้นนั้น ส่วนตัวก็รู้สึกตกใจ ไม่คิดว่าจะมีเหตุการณ์แบบนี้ แต่ลึก ๆ แล้วก็ไม่ทราบว่า มีการตกลงอะไรกันเกิดขึ้นระหว่างตำรวจกับผู้ต้องหา หรืออาจเกิดจากที่ดาบตำรวจดื่มเหล้าแล้วไปเข้าเวรทำให้เกิดอารมณ์หรือไม่ แต่สำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก็ไม่สามารถแก้ไขอะไร ก็ให้ว่าไปตามกระบวนการ แต่ส่วนตัวลึก ๆ มีความรู้สึกเสียดายอนาคตหน้าที่การงาน “เสียดายแทนอายุยังน้อย มีโอกาสในติดดาวเพิ่มอีก ไม่น่ามาก่อเหตุแบบนี้”

ขณะเดียวกัน ทีมข่าวยังเดินทางไปที่ชุมชนแห่งหนึ่ง ย่านท่าพระ-ตากสิน ซึ่งเป็นบ้านหนึ่งในผู้ต้องหาที่ถูกควบคุมตัวในโรงพัก สน.บุคคโล คือ น.ส.มนัสวี อายุ 48 ปี ผู้ต้องหาคดียาเสพติด ข้อหาครอบครองยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ไอซ์) ซึ่งเป็นลักษณะบ้านในซอยชุมชน อาศัยอยู่กันเป็นครอบครัวใหญ่

นางปู (นามสมมติ) อายุ 69 ปี แม่ของผู้ต้องหา เปิดเผยว่า วันเกิดเหตุลูกสาวไม่ได้อาศัยอยู่ที่บ้าน แต่ถูกจับในพื้นที่อื่น แล้วเพิ่งมาทราบข่าวเมื่อวานนี้ว่า ลูกสาวถูกจับในข้อหายาเสพติด แต่ก็ไม่ได้สนใจอะไร เพราะที่ผ่านมาครอบครัวค่อนข้างบอบช้ำกับเรื่องคดียาเสพติดของลูกสาว เพราะลูกสาวเคยติดคุกมานานกว่า 7 ปี และพ้นโทษมาได้ไม่นานก็กลับมาทำตัวเหมือนเดิม จนทำให้ญาติ ๆ ไม่พอใจ จึงได้ให้ไปอยู่ที่อื่น เพราะไม่อยากให้ครอบครัวได้รับความเดือดร้อน และยอมรับว่าที่ผ่านมาในฐานะแม่ก็พยายามพูดคุยให้กลับมาเป็นคนดี แต่ก็ไม่เป็นผล ลูกสาวยังคงประพฤติตัวเหมือนเดิม แล้วยังทิ้งภาระให้กับคนที่บ้าน โดยนำลูกมาทิ้งเอาไว้ให้ที่บ้านเลี้ยง และไม่เคยสนใจ ไม่เคยส่งเสีย หรือแวะกลับมาดูลูกของตัวเอง

ส่วนตัวเพิ่งทราบข่าวว่า มีดาบตำรวจไขกุญแจประตูห้องขังเพื่อพาลูกหลบหนี และยังมาทราบอีกว่า มีการกระทำอนาจาร ในฐานะแมาเหตุการณ์ครั้งนี้ ตนไม่ได้รู้สึกสงสารลูก แต่สงสารตำรวจที่จะต้องตกงาน สงสารครอบครัวของตำรวจ และเสียดายหน้าที่การงาน เพราะต้องมาเจอกับคนแบบลูกสาวของตน ส่วนตัวไม่ได้หวังจะเอาผิดตำรวจ แต่อยากให้เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย เพราะไม่รู้ว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร ส่วนลูกสาวก็ให้รับโทษไปตามกรรม เพราะถ้าออกจากคุกมารอบนี้ ก็คงจะเหมือนเดิม ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง

อย่างไรก็ตาม ทีมข่าวจำลองเส้นทาง หลังจากที่ด.ต.สุพจน์ พาผู้ต้องขังหญิง 2 ราย ออกจากห้องขัง ช่วงเวลา 00.01 น. ของคืนวันที่ 1 ก.ย.63 ออกจากห้องขังชั้น 2 ฝั่งสน.บุคคโล ขึ้นบันไดไปที่ชั้น 3 ผ่านส่วนปฏิบัติงาน ห้องประชุม และห้องสอบสวน ซึ่งชั้น 3 จะมีลิฟต์และบันไดเดินขึ้นไปห้องพัก แต่จะต้องผ่านชั้น 4 ส่วนของห้องสืบสวน หลังพ้นจากชั้น 4 ไปแล้ว ตั้งแต่ชั้นที่ 5-11 จะเป็นห้องพักทั้งหมด ทีมข่าวยังได้ขึ้นไปสำรวจชั้นห้องพัก พบว่าแต่ละชั่นจะมีห้องพักเฉลี่ย 15-20 ห้อง หน้าต่างเป็นแบบประตูบานเกล็ด แต่ไม่มีป้ายชื่อระบุว่าเป็นห้องใคร

ขอบคุณ amarintv

:: ร่วมแสดงความคิดเห็นกับสิ่งนี้

:: เนื้อหาข่าวที่น่าสนใจ