สั่งตรวจจุดตัดทางรถไฟทั่วประเทศ ป้องกันไม่ให้เกิดเหตุซ้ำรอย

สั่งตรวจจุดตัดทางรถไฟทั่วประเทศ ป้องกันไม่ให้เกิดเหตุซ้ำรอย

วันที่ 11 ต.ค. 2563 นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า จากกรณีเกิดเหตุขบวนรถไฟบรรทุกสินค้าคอนเทนเนอร์ที่ 852 ดีเซลเลขที่ 5102 เดินทางระหว่างสถานีแหลมฉบัง-สถานีหัวตะเข้ เฉี่ยวชนรถบัสโดยสาร ซึ่งเป็นคณะกฐินของพนักงานโรงงานเพอร์เฟค จ.สมุทรปราการ ประมาณ 50-60 คน กำลังนำกฐินไปทอดถวายที่วัดบางปลานัก ต.หนามแดง อ.เมืองฉะเชิงเทรา เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต 18 ศพ และบาดเจ็บ 44 ราย

ทั้งนี้ กระทรวงคมนาคม รายงานผลการสอบสวนเบื้องต้นให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ทราบว่า รถไฟบรรทุกสินค้าได้ทำขบวนผ่านสถานีคลองบางพระ และเกิดเหตุขณะทำขบวน ก่อนถึงบริเวณป้ายหยุดรถคลองแขวงกลั่น โดยจุดที่เกิดเหตุเป็นทางลักผ่าน กม. 50+031 การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ได้ติดตั้งป้ายหยุด ป้ายและสัญญาณไฟเตือน เพื่อช่วยในด้านความปลอดภัยให้แก่ผู้ขับขี่ในช่วงเกิดเหตุมีรถบัสโดยสารขับผ่านจุดตัดบริเวณดังกล่าว ซึ่งพนักงานขับรถไฟได้ปฏิบัติตามข้อบังคับการเดินรถโดยการเปิดหวูดเตือนก่อนจะถึงจุดตัดเสมอระดับทาง แต่ด้วยระยะที่กระชั้นชิดทำให้ไม่สามารถหยุดขบวนรถได้ทัน จนเกิดเหตุเฉี่ยวชนรถบัสโดยสารหมายเลขทะเบียน 30-1476 พระนครศรีอยุธยา เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บ

นายศักดิ์สยาม กล่าวต่ออีกว่า ได้สั่งการให้ นายนิรุฒ มณีพันธ์ ผู้ว่าการ รฟท. เข้าไปดูแลผู้บาดเจ็บและผู้เสียชีวิต พร้อมทั้งประสานงานกับกรมขนส่งทางบก (ขบ.) เพื่อขอใช้งบประมาณจากกองทุนความปลอดภัยทางถนน (กปถ.) นำมาศึกษาวิธีการแก้ปัญหาอย่างถาวร หากงบประมาณกองทุน กปถ. ไม่เพียงพอ ให้ทำเรื่องเสนอขอรับการจัดสรรจากงบประมาณรายจ่ายงบกลางเพื่อนำมาดำเนินการต่อไป นอกจากนี้ ยังได้มอบหมายให้ รฟท. ไปตรวจสอบสาเหตุและวิธีป้องกันแก้ไขปัญหาโดยด่วน ซึ่ง รฟท. จะต้องเข้าไปพิจารณาบริเวณจุดตัดทางรถไฟอื่นๆ ที่มีความเสี่ยง เพื่อไม่ให้เกิดอุบัติเหตุซ้ำรอย ขณะเดียวกัน รฟท. จะต้องไปดำเนินการรวบรวมข้อมูลจุดตัดทางรถไฟทั่วประเทศด้วย โดยแยกประเภทว่ามีการติดตั้งอุปกรณ์ความปลอดภัยหรือไม่ จากนั้นให้สรุปรายละเอียดและรายงานกลับมายังกระทรวงคมนาคม

ทางด้านผู้ว่าการ รฟท. กล่าวว่า ได้ลงพื้นที่จุดเกิดเหตุพร้อมด้วย นายพิเชฐ คุณาธรรมรักษ์ รองอธิบดีกรมการขนส่งทางราง รวมถึงคณะผู้บริหาร และเจ้าหน้าที่ฝ่ายที่เกี่ยวข้องของ รฟท. พร้อมสั่งการตั้งศูนย์ประสานงานช่วยเหลือผู้ประสบเหตุโดยมี นายอนันต์ โพธิ์นิ่มแดง ผู้ช่วยผู้ว่าการด้านปฏิบัติการ เป็นหัวหน้าศูนย์ในการประสานงานเกี่ยวกับอุบัติเหตุในครั้งนี้ และทำหน้าที่ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ ขบ. จังหวัดฉะเชิงเทรา บริษัทประกันภัย และโรงพยาบาลต่างๆ ทั้งได้กำชับเจ้าหน้าที่ รฟท. ทุกฝ่ายให้ดูแลผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตอย่างเต็มที่ ทั้งนี้ รฟท. จะรายงานความคืบหน้าต่อไป

ขณะที่รายงานข่าวจาก รฟท. ระบุว่า รถบัสโดยสารขับผ่านจุดตัดบริเวณที่เกิดเหตุดังกล่าว พนักงานขับรถไฟได้ปฏิบัติตามข้อบังคับโดยการเปิดหวูดเตือนก่อนจะถึงจุดตัดเสมอระดับทาง แต่ด้วยระยะที่กระชั้นชิดทำให้ไม่สามารถหยุดขบวนรถได้ทัน จนทำให้เกิดเหตุเฉี่ยวชนรถบัสเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต 18 ราย และได้รับบาดเจ็บ 44 ราย กลับบ้านแล้ว 31 ราย โดยรักษาตัวที่ รพ.พุทธโสธร 22 ราย (ออกจาก รพ. แล้ว 9 ราย) รพ.เกษมราษฎร์ 7 ราย รพ.คลองเขื่อน 6 ราย และ รพ.บ้านโพ 9 ราย (ออกจาก รพ. แล้วทั้งหมด)

สำหรับจุดตัดทางถนนและทางรถไฟนั้นมีทั้งสิ้น 2,684 แห่งทั่วประเทศ ประกอบด้วย เสมอระดับ 2,278 จุด (ได้รับอนุญาต 1,657 จุด และทางลักผ่าน 621 จุด), ทางลอด 214 จุด และทางข้าม 192 จุด ทั้งนี้ จากข้อมูลสถิติอุบัติเหตุจุดตัดทางรถไฟในช่วงปีงบประมาณ 2558-2562 พบว่า มีจำนวนอุบัติเหตุบริเวณจุดตัด จำนวน 383 ครั้ง มีผู้บาดเจ็บ 371 ราย และมีผู้เสียชีวิต 138 ราย หรือเฉลี่ยในแต่ละปี เกิดอุบัติเหตุบริเวณจุดตัดเสมอระดับปีละประมาณ 77 ครั้ง มีผู้บาดเจ็บ 74 ราย มีผู้เสียชีวิต 28 ราย และจากกรณีดังกล่าวสำหรับผู้เสียชีวิตทายาทจะได้รับสิทธิประโยชน์จากกองทุนประกันสังคม ประกอบด้วย 1. ค่าทำศพ 40,000 บาท เนื่องจากเสียชีวิตไม่ใช่ระหว่างทำงาน 2. เงินสงเคราะห์กรณีเสียชีวิต และ 3. เงินชราภาพ (กรณีที่ 2 และ 3 อยู่ระหว่างตรวจสอบข้อมูลและคำนวณจำนวนเงินสิทธิประโยชน์ที่จะได้รับของผู้เสียชีวิตแต่ละราย)

นอกจากนี้ อธิบดีกรมการขนส่งทางบก ยังเปิดเผยว่า จากเหตุการณ์ดังกล่าวขณะนี้ได้สั่งการให้ขนส่งจังหวัดไปเร่งตรวจสอบข้อเท็จจริงทั้งในเรื่องของมาตรฐานรถไม่ประจำทางที่บริการผู้โดยสาร รวมถึงให้ไปตรวจสอบจำนวนผู้โดยสารที่โดยสารในรถคันดังกล่าวว่าตรงตามมาตรฐานที่กรมการขนส่งทางบกกำหนดหรือไม่ เพราะขณะนี้ยังไม่ทราบข้อมูลที่แท้จริงว่าเป็นอย่างไร ขณะเดียวกันในภาพรวมได้สั่งการให้ขนส่งจังหวัดทั่วประเทศเข้มงวดในเรื่องของรถโดยสารไม่ประจำทางและรถโดยสารประจำทางมากขึ้น เนื่องจากช่วงนี้เป็นช่วงเทศกาลบุญที่ประชาชนนิยมเดินทางโดยรถขนาดใหญ่จำนวนมาก

ที่มา thairath

:: ร่วมแสดงความคิดเห็นกับสิ่งนี้

:: เนื้อหาข่าวที่น่าสนใจ