โซเชียลถามกลับ หลังยายถูกเรียกเก็บเบี้ยคนชราคืน

โซเชียลถามกลับ หลังยายถูกเรียกเก็บเบี้ยคนชราคืน

จากกรณีที่ ชาวบ้านใน ต.เจริญสุข อ.เฉลิมพระเกียรติ จ.บุรีรัมย์ ร้องเรียนว่ากำลังเดือดร้อนและอยากให้หน่วยงานภาครัฐช่วยเหลือ กรณีที่ทางกรมบัญชีกลางมีหนังสือมาทวงเงินเบี้ยผู้สูงอายุที่จ่ายให้กับแม่เป็นเวลา 10 ปีคืนพร้อมดอกเบี้ยรวมเป็นเงินกว่า 84,000 บาท สร้างความตกใจให้กับผู้เป็นแม่ซึ่งปัจจุบันอายุ 89 ปีแล้ว

นางบวน โล่ห์สุวรรณ อายุ 89 ปี ยายที่ถูกกรมบัญชีกลางมีหนังสือมาเรียกเก็บเงินเบี้ยผู้สูงอายุคืน ซึ่งลูกสาวต้องมาคอยดูแลอย่างใกล้ชิดเพราะห่วงยาย โดยนางบวน เล่าให้ฟังว่า ยายเริ่มได้รับเบี้ยผู้สูงอายุ เมื่อปี 2553 จนถึงปี 2563 เป็นเวลา 10 ปี ก็ไม่มีปัญหาอะไร กระทั่งจู่ๆ ปี 2563 ทาง อบต.ก็แจ้งว่าต้องหยุดจ่ายเงินเบี้ยผู้สูงอายุของยาย เนื่องจากยายได้รับเงินบำนาญพิเศษกรณีที่เป็นทายาทของ จ.ส.อ.จักราวุทธ โล่ห์สุวรรณ ลูกชาย ซึ่งเป็นทหารสังกัด มทบ.21 นครราชสีมา เนื่องจากลูกชาย เสีย เมื่อ วันที่ 25 ตุลาคม 2544 ทางต้นสังกัดจึงได้พิจารณา จ่ายเงินบำนาญพิเศษ ให้กับพ่อ แม่ คนละ 5,000 บาทต่อเดือน แต่หลังจากสามี จากไป ก็เหลือยายคนเดียวที่ได้รับเงินบำนาญทายาทเดือนละ 5,000 บาท กระทั่งเมื่อวันก่อนทางเจ้าหน้าที่ อบต.เจริญสุข ได้มาแจ้งที่บ้านว่ามีหนังสือจากกรมบัญชีกลางให้เรียกเก็บเงินเบี้ยผู้สูงอายุจากยายคืนพร้อมกับดอกเบี้ยรวมเป็นเงินกว่า 84,000 บาท ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น

ต่อมา น.ส.ธสา ชินรัมย์ ผู้อำนวยการกองสวัสดิการสังคมองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) เจริญสุข ออกมาชี้แจงเกี่ยวกับกรณีดังกล่าวว่า หลังได้รับหนังสือตอบกลับจากกรมบัญชีกลางแจ้งว่า คุณยายบวน ได้รับเงินบำนาญพิเศษกรณีลูกชายซึ่งเป็นทหาร เดือนละ 5,000 บาท สามียายเดือนละ 5,000 บาท และลูกสะใภ้อีกเดือนละ 5,000 ทั้งช่วยเหลือส่งเสียบุตรทั้ง 2 คนจนเรียนจบปริญญาตรีด้วย ดังนั้นตามระเบียบ อบต.จึงไม่สามารถจ่ายเงินซ้ำซ้อนได้

ทั้งนี้ หลังจากเรื่องราวดังกล่าวถูกเผยแพร่ออกไป ก็มีชาวโซเชียลเข้ามาแสดงความคิดเห็นวิพากษ์วิจารณ์อย่างมาก พร้อมกับตั้งคำถามว่า ทางเจ้าหน้าที่รัฐ มีการตรวจสอบพนักงานหรือไม่ เพราะเป็นความผิดพลาดของระบบคัดกรอง หรือมีเพียงยายที่ต้องรับผิดชอบฝ่ายเดียว

:: ร่วมแสดงความคิดเห็นกับสิ่งนี้

:: เนื้อหาข่าวที่น่าสนใจ