ทนายพูดแล้ว เปลี่ยนเงินสด เราชนะ

ทนายพูดแล้ว เปลี่ยนเงินสด เราชนะ

ทนายความชื่อดัง เผยถึงกรณีกองบังคับการปราบปราม ออกมาเตือนประชาชนผ่านเฟซบุ๊ก "กองปราบปราม" กรณีโครงการ "เราชนะ" ไม่สามารถเปลี่ยนเป็นเงินสดได้ และการซื้อหรือขายสิทธิ์อาจถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย ทั้งความผิดฐานฉ้อโกง และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ

ขณะที่ประชาชนจำนวนมากขอร้องกองปราบฯ ว่าอย่าดำเนินคดีกับประชาชนที่หาทางเปลี่ยนสิทธิ์ "เราชนะ" เป็นเงินสดเลย เพราะการใช้จ่ายผ่านแอพพลิเคชั่นไม่สะดวก หลายอย่างที่เป็นความจำเป็นไม่สามารถใช้จ่ายได้

นายเกิดผล แก้วเกิด ทนายความชื่อดัง กล่าวว่า ตนยังไม่มีข้อมูล จึงไม่สามารถให้ความเห็นได้ แต่สำหรับความผิดฐานฉ้อโกงนั้นเข้าข่าย กล่าวคือ หากประชาชนนำเงินที่รัฐบาลจ่ายผ่านแอพพลิเคชั่นไปใช้นั้นก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่เมื่อมีการไปตกลงกับบุคคลอื่นว่าจะขอแลกเปลี่ยนสิทธิ์โดยฝ่ายหนึ่งได้ประโยชน์เป็นเงินส่วนต่าง ส่วนอีกฝ่ายได้เงินสดไปใช้ เช่น โครงการเราชนะได้เงิน 3,500 บาท ร้านค้าขอส่วนต่าง 500 บาท ส่วนประชาชนเจ้าของสิทธิ์ได้เงินสดไป 3,000 บาท ลักษณะนี้ถือว่ามีเจตนาเอาเงินที่ตนเองไม่มีสิทธิ์โดยทุจริตไปจากหลวงหรือรัฐบาล จึงเป็นความผิดฐานฉ้อโกง พร้อมกับยกกรณีทุจริตโครงการ "เราเที่ยวด้วยกัน" ที่มีการจองห้องพักโรงแรมแต่ไม่ได้มีการไปพักจริง มาเป็นตัวอย่าง

"เปิดจองห้องพัก โรงแรมจริงๆ มีแค่ 10 ห้อง แต่ไปเปิด 12 ห้อง อย่างนี้ส่วนเกิน 2 ห้อง ถือว่ามีความผิดฐานฉ้อโกงเพราะไม่ได้ใช้สิทธิ์จริงๆ เมื่อไม่ได้ใช้สิทธิ์จริงๆ แต่สมรู้ร่วมคิดกันเพื่อทุจริต เบียดบังหรือหลอกลวงเอาเงินของหลวงไปเป็นความผิดฐานฉ้อโกง ร้านค้าคือตัวฉ้อโกง ชาวบ้านก็จะมีความผิดตรงนี้ คือเป็นตัวการร่วมกับร้านค้าฉ้อโกง" นายเกิดผล กล่าว

เช่นเดียวกับ นายรณณรงค์ แก้วเพ็ชร์ ประธานเครือข่ายรณรงค์ทวงคืนความยุติธรรมในสังคม ที่กล่าวว่า วัตถุประสงค์ของโครงการคือต้องมีการซื้อ-ขายสินค้าเกิดขึ้นจริง แล้วรัฐบาลก็จะจ่ายเงินงบประมาณให้ หากไม่มีการซื้อ-ขายจริง แต่ไปแปรเปลี่ยนเป็นเงินสดย่อมถือว่าผิดวัตถุประสงค์ ผู้ร่วมดำเนินการก็จะมีความผิดฐานฉ้อโกง นอกจากนี้ยังจะมีความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14 (1) เพราะเป็นการนำเข้าข้อมูลอันเป็นเท็จ เนื่องจากโครงการเราชนะมีการกรอกข้อมูลผ่านทางอินเตอร์เน็ต

นอกจากนี้ จะมีความผิดฐานแจ้งความข้ออันเป็นเท็จต่อเจ้าพนักงานด้วย เพราะต้องแจ้งเจ้าพนักงานของกระทรวงการคลังเพื่อทำการเบิกจ่ายงบประมาณ เท่ากับกระทำพฤติกรรมเดียวแต่มีความผิดตามกฎหมายหลายเรื่อง ซึ่งจะเป็นเรื่องตอนที่มีการจับกุมคดีทุจริตโครงการเราเที่ยวด้วยกัน ที่ไม่มีการไปพักโรงแรมจริงแต่ไปเบิกเงินหลวงมา ดังนั้นโครงการเราชนะก็ไม่ต่างกัน

"เพียงแต่ว่าถ้าเกิดสมมติว่าใครต้องการจะเบิกจ่ายเอาไปเปลี่ยนเป็นเงินสดให้มันถูกกฎหมาย คุณก็ต้องไปซื้อของมาก่อน ซื้อของมาจริงๆ แล้วคุณก็เอาของตัวนั้นไปขาย นั่นเป็นสิทธิ์ของคุณ แต่ถ้าเกิดคุณไม่เอาของเลย คุณเอาแต่เงินเลย อันนี้โดนจับแน่" นายรณณรงค์ ระบุ

:: ร่วมแสดงความคิดเห็นกับสิ่งนี้

:: เนื้อหาข่าวที่น่าสนใจ